0
Writer
- แมวขยันดี
714
“ถ้าเอาสมองหมูมาปลูกถ่ายใส่หัวคน จะเรียกคนนั้นว่าคนหรือหมู”
.
เรื่องราวของแม่เลี้ยงเดี่ยว “ซาโอริ ที่พบได้พบว่า “มินาโตะ” ลูกชายของเธอเริ่มเกิดพฤติกรรมแปลกประหลาด จู่ ๆ มินาโตะได้บอกกับแม่ของเขาว่าเขากลายเป็น “สัตว์ประหลาด” ไปแล้ว ทำให้ซาโอริออกค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นและได้พบว่าสาเหตุทั้งหมดมีที่มาจากคุณครูประจำชั้น “โฮริ” ซาโอริตัดสินใจเดินทางไปที่โรงเรียน เพื่อหวังจะทวงความเป็นธรรม แต่กลับพบว่ามีอะไรบางอย่างซ่อน อยู่ภายในตัวตนของมินาโตะ สามารถรับชม Monster(2023) ผ่าน Netflix ได้ในตอนนี้
เราคือสัตว์ประหลาด หรือ สังคมที่มองเราเป็นสัตว์ประหลาด? Monster เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องผ่าน 3 ตัวละคร 3 มุมมอง ซาโอริ แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องการปกป้องชีวิตธรรมของครอบครัว โฮริ ครูที่ถูกกดทับจากโรงเรียนที่ไม่ต้องการเสียชื่อเสียง มินาโตะ เด็กที่ตั้งคำถามว่าตัวเขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ โดยเนื้อหาทั้ง 3 ช่วง ได้พาเราไปสำรวจสภาพสังคม ค่านิยม การศึกษา ของประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับค่อย ๆ กะเทาะให้เห็นถึงความบิดเบี้ยวของสังคม และกัดกร่อนจิตใจของมินาโตะจนสร้างความสับสนภายใน และทำให้เด็ก ๆ เลือกที่จะตั้งคำถามถึงความแปลกประหลาดของตัวเอง แต่บทสรุปของเรื่องราวได้ชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามว่าใครกันแน่ที่เป็น “สัตว์ประหลาด” เด็ก ๆ หรือสังคม?
แน่นอนว่านั้นสังคมไม่มีความปรานี แม้แต่กับเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่ได้รู้จักโลกดีพอ ก็อาจรู้สึกว่ากำลังถูกผลักออกไปจากพื้นที่ในสังคม เพราะว่าตัวเขานั้นแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็น ฐานะ ชนชั้น แนวคิด เพศวิถี หากเป็นคนส่วนน้อยในคนหมู่มาก ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมในสังคม โดยเฉพาะเด็กในวัยประถม หรือ มัธยม ที่กำลังเริ่มทำความรู้จักกับตัวเอง และอยู่ในช่วงวัยที่มีโลกส่วนตัวสูง อาจสื่อสารกับผู้ปกครองน้อยลง ทำให้บางครั้งผู้ปกครองไม่ได้รู้จักเด็กดีเท่ากับเพื่อน จึงทำให้บางครั้งผู้ปกครอง หรือ ครู ที่ใช้ชุดความคิดของสังคมที่คนส่วนใหญ่ใช้ร่วมกัน ในการตัดสินเด็กก็สามารถสร้างแรงกดดันให้กับเด็กโดยไม่รู้ตัวได้
‘เลี้ยงเด็กหนึ่งคน ใช้คนทั้งหมู่บ้าน’ บางครั้งการดูแลเด็กสักคน ครอบครัวเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น ยังมีองค์ประกอบอีกมากมายที่เกี่ยวเนื่องกับเด็กคนหนึ่ง “การเรียนรู้ด้วยสภาพแวดล้อม” (Unintentional Learning) มีโอกาสส่งผลต่อเด็กสูงถึง 80% ของการเรียนรู้ทั้งหมด การอบรมสั่งสอนเด็กในห้องเรียนมีอยู่แค่ 20% ถ้าบรรยากาศในการเรียนรู้เหมาะสม เด็กก็พร้อมที่จะเรียนไม่ว่าเนื้อหาใด แต่ถ้าสิ่งรอบตัวไม่เอื้อ ก็ยากมากสำหรับเด็ก แน่นอนว่าครอบครัว ชุมชน การศึกษา ต้องไม่ตัดสินเด็กจากบุคลิกภายนอก หรือ ใช้อคติที่มาจากความเชื่อทางวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่เราพร้อมที่จะเปิดใจรับ เข้าใจในตัวของเด็กจากบริบทที่แตกต่างกัน อาจถึงเวลาแล้วที่สังคมส่วนรวมตั้งเปลี่ยนแปลงเพื่อเด็กบ้าง
คำว่า “Monster” หรือ “สัตว์ประหลาด” อาจจะไม่ได้ใช้นิยามพฤติกรรมหรือคำพูดที่แปลกประหลาดของตัวละครอย่างมินาโตะ แต่อาจจะหมายถึงสภาพแวดล้อม ค่านิยม การศึกษา ที่ค่อย ๆ ผลักให้เด็กกลายเป็นคนที่แปลกแยกและโดดเดี่ยว ปมปัญหาในเรื่องอาจจะไม่ใช่สิ่งใหม่หรือยากจะตีความ แต่มันคือค่านิยมในสังคม “ชายเป็นใหญ่” ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมญี่ปุ่น แน่นอนว่าประเทศไทยเองก็มีค่านิยมเหล่านี้ปะปนอยู่ในสื่อบันเทิง การศึกษา ชุมชน อยู่เช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่การแสดงออกของเด็กเหล่านั้นต่างออกไปจากบรรทัดฐานที่สังคมส่วนรวมกำหนดไว้ เด็กเหล่านั้นก็อาจจะถูกตีตราว่าเป็น “สัตว์ประหลาด” ของสังคมได้ แล้วสังคมไม่ควรมีพื้นที่ให้สำหรับเด็กที่แตกต่างหรือ?
ติดตาม I AM KRU. สังคมสร้างสรรค์ของคนสอน ได้ในทุกช่องทางได้ที่:
#iamkru #สถานศึกษา #กสศ #ภาพยนตร์ #สัตว์ประหลาด #บริบท #ความแตกต่าง #สังคม
1,184
วันนี้ I AM KRU. ได้มาสังเกตการณ์การอบรม “การนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และระบบนิเวศทางการศึกษาสู่สมรรถนะของผู้เรียน” ภายใต้ความร่วมมือโครงการพัฒนาสมรรถนะด้านการนิเทศของศึกษานิเทศก์ ของหน่วยศึกษานิเทศก์ สพฐ.และโครงการพัฒนาผู้นำการจัดการเรียนรู้และระบบนิเวศทางการศึกษา ของ กสศ. มีประเด็นเรื่องการพัฒนาบุคลากรที่ทีมวิทยากรบรรยายในกิจกรรมของวันแรกน่าสนใจเลยทีเดียว
คำถาม คนหนึ่งคิดเลขเก่ง อีกคนหนึ่งเล่นฟุตบอลเก่ง สองคนนี้เก่งเท่ากันหรือไม่
คำตอบ ไม่ เพราะทั้งสองสิ่งเป็นทักษะที่ไม่อาจจะเปรียบเทียบกันเหมือน สั่งให้ม้าไปว่ายน้ำ หรือให้ปลาปีนต้นไม้ แต่ถ้าจะพัฒนาให้ทั้งสองมีความสามารถอีกด้านเพิ่มขึ้นนั้นอาจสามารถทำได้ และอาจกลายเป็นอีกทักษะที่ก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้อีก
เมื่อคนเรามีทักษะปัญญาไม่เท่ากัน ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งพยายามอธิบายให้เห็นภาพความแตกต่างของความสามารถและปัญญาที่แตกต่างกันของมนุษย์ ชื่อว่าศาสตราจารย์โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย ผ่านทฤษฎีที่เรียกว่า “ทฤษฎีพหุปัญญา” (Theory of Multiple Intelligences) เป็นแนวคิดที่ว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านมีความสําคัญเท่าเทียมกัน แต่จะใครจะโดดเด่นในด้านใดนั้นเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนอาจจะมีมากกว่า 1 ทักษะก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดย ศ. การ์ดเนอร์ ได้เสนอทฤษฎีหพุปัญญานั้น มีอยู่ 9 ด้าน คือ
1) ปัญญาด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence)
2) ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence)
3) ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence)
4) ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence)
5) ปัญญาด้านดนตรี (Musical Intelligence)
6) ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence)
7) ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)
8) ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist Intelligence) (เพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2540)
9) ปัญญาด้านการดํารงชีวิต (Existential Intelligence) (เพิ่มเติมล่าสุดในปี พ.ศ. 2561)
เมื่อเชื่อมโยงเนื้อหาในงานด้านพัฒนาบุคลากร ทั้งครู ศึกษานิเทศก์ ฝ่ายบุคคล องค์กร หรือจะใช้เพื่อพัฒนาตนเอง นั้นสามารถใช้การบูรณาการเข้ากับแผนการพัฒนาที่ช่วยเสริมสร้างแผนการพัฒนาส่วนบุคคล หรือ Personalized Development Plan (PDP) สำหรับพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ เป็นแนวทางทีละขั้นตอนของการสร้างแผนการพัฒนาเฉพาะบุคคล หรือเส้นทางการเรียนรู้ส่วนบุคคลภายในกรอบการทำงานพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ ที่สามารถช่วยให้บุคคลและองค์กรได้ใช้ประโยชน์จากความสามารถและทักษะที่หลากหลายมากขึ้น โดยสามารถลองทำตามขั้นตอนการปฏิบัติด้านล่างทีละขั้นตอน ง่าย ๆ ตามขั้นดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1: การประเมินตนเอง หรือการประเมินทางวิชาชีพ (Self-Assessment or Professional Assessment)
ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินตนเองว่าทฤษฎีของการ์ดเนอร์ใน 9 สติปัญญานั้นมีอะไรที่เป็นจุดแข็งและจุดอ่อน หรือจะให้ประเมินดำเนินการโดยมืออาชีพก็จะได้ผลที่ละเอียดมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 2: การระบุเป้าหมาย (Identifying Goals)
กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจนและสามารถทำให้ลุล่วงได้ ในทักษะที่ยังอ่อน เช่นประเมินแล้วได้คะแนนเชิงตรรกะอ่อน แต่ต้องใช้ทักษะนี้ทั้งการเรียนหรือการทำงาน อาจจะต้องพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาเพิ่มเพื่อพัฒนาศักยภาพให้เพียงพอในการใช้ชีวิต
ขั้นตอนที่ 3: การทำแผนที่ทักษะ (Skill Mapping)
ทำแผนที่ทักษะของตนเองสำหรับสติปัญญาแต่ละประเภทที่ต้องการการปรับปรุง โดยให้ระบุทักษะและความสามารถที่เกี่ยวข้องในการพัฒนา ตัวอย่างเช่น:
ปัญญาทางตรรกะและคณิตศาสตร์: ปรับปรุงการแก้ปัญหาและการใช้เหตุผลเชิงวิเคราะห์
ปัญญาระหว่างบุคคล: พัฒนาการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งและทักษะการฟังอย่างกระตือรือร้น
ขั้นตอนที่ 4: การจัดสรรทรัพยากร (Resource Allocation)
การระบุเครื่องมือที่ตรงกับประเภทของปัญญาที่กำลังต้องการการพัฒนามากที่สุด ตัวอย่างการออกแบบเพื่อให้เห็นแนวทางการจัดสรรและเลือกใช้ทรัพยกรที่มีอยู่ในมือให้เกิดประสิทธิภาพ:
ปัญญาทางภาษาศาสตร์: เวิร์กช็อปการเขียน แอปไวยากรณ์ หรือหลักสูตรการพูดในที่สาธารณะ
ปัญญาด้านการดำรงชีวิต : ออกเดินทางหรือไปทดลองใช้ชีวิตในแบบที่ไม่เคยทำ เพื่อเปิดมุมมองการมองโลก และฝึกทักษะการเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบต่าง ๆ (แต่อย่าถึงขั้นนำตัวเองเข้าสู่สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อชีวิต)
ขั้นตอนที่ 5: วิธีการและกิจกรรม (Methodology and Activities)
วางแผนกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายเพื่อสร้างการทักษะทางปัญญาที่หลากหลาย ผ่านกิจกรรม หรือการออกแบบชุดกระบวนการเรียนรู้ เช่น
ปัญญาด้านดนตรี: ใช้ดนตรีหรือจังหวะ สร้างการจดจำข้อมูล ตัวอย่างแบบครูพี่หลินตัวละครจากภาพยนตร์ฉลาดเกมโกง ที่ใช้วิธีการจำเฉลยข้อสอบผ่านโน้ตเปียโน
ปัญญาทางร่างกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย: บูรณาการกิจกรรมทางกายเข้ากับการเรียนรู้ เช่น การเล่น การออกกำลังกาย เล่นกีฬาที่ชอบ การได้ลองฝึกบ่อย ๆ จะช่วยให้เกิดทักษะความเชี่ยวชาญได้
ขั้นตอนที่ 6: กำหนดระยะเวลา Timeline
กำหนดเป็นขั้นตอนมีเริ่มต้น และสิ้่นสุด ประเมินระยะเวลาตามความเป็นจริงที่ทำได้ และต้องติดตามความคืบหน้าและอัปเดตตารางการปฏิบัติเหล่านี้อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะได้เห็นความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น
ขั้นตอนที่ 7: เพื่อนช่วยเพื่อนและพี่เลี้ยง Peer and Mentor Support
ให้เพื่อนร่วมงานและพี่เลี้ยงที่เก่งในด้านสติปัญญาที่กำลังพัฒนาให้เข้ามามีส่วนร่วม ความใกล้ชิดทำให้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและจุดที่ต้องแก้ไขได้
ขั้นตอนที่ 8: วงจรของการสะท้อนความคิดเห็น (Feedback Loops)
ทบทวนความคืบหน้าร่วมกับหัวหน้างาน พี่เลี้ยง หรือเพื่อนร่วมงานเป็นประจำ รวบรวมคำติชมและปรับแผนตามความจำเป็น และยิ่งถ้าเป็นวงจรสะท้อนกลับเชิงบวก (Positive feedback loop) แล้วละก็จะยิ่งทำให้การพัฒนามีประสิทธิภาพและความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานนั้นดีขึ้นไปด้วย
ขั้นตอนที่ 9: การประเมินอย่างเป็นทางการ (Formal Assessments)
การประเมินอย่างเป็นทางการควรทำในระยะที่สามารถวัดผลการปรับปรุงตามวัตถุประสงค์ได้แล้ว อาจใช้การประเมินผ่านการทำแบบทดสอบง่าย ๆ ไปจนถึงการประเมินแบบลงรายละเอียดมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 10: ไตร่ตรองและแก้ไข (Reflect and Revise)
เมื่อดำเนินการตามแผนและการประเมินเสร็จสิ้น ให้สะท้อนประสิทธิผลโดยรวมของ Personalized Development Plan (PDP) ทำการแก้ไข ปรับปรุงตามความจำเป็นเพื่อการพัฒนาปัญญาด้านต่าง ๆ ในอนาคต
ด้วยการบูรณาการพหุปัญญาของการ์ดเนอร์เข้ากับแผนการพัฒนาเฉพาะบุคคลหรือเส้นทางการเรียนรู้ คุณจะสามารถเข้าถึงทักษะและความสามารถที่หลากหลายและหลากหลายของตัวคุณเอง บุคลากรในองค์กรซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาปัญญา ทักษะเฉพาะบุคคล และในสายงานวิชาชีพแบบองค์รวมมากขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
2,336
Cookie | Duration | Description |
---|---|---|
cookielawinfo-checkbox-analytics | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Analytics". |
cookielawinfo-checkbox-functional | 11 months | The cookie is set by GDPR cookie consent to record the user consent for the cookies in the category "Functional". |
cookielawinfo-checkbox-necessary | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookies is used to store the user consent for the cookies in the category "Necessary". |
cookielawinfo-checkbox-others | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Other. |
cookielawinfo-checkbox-performance | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Performance". |
viewed_cookie_policy | 11 months | The cookie is set by the GDPR Cookie Consent plugin and is used to store whether or not user has consented to the use of cookies. It does not store any personal data. |