ความผูกพันผ่านกิจกรรมในวัยเด็กที่โรงเรียน
จ.ส.ต.หญิง รุ่งทิพย์ เวลา หรือครูหนิง เล่าให้ IAMKRU. ถึงความประทับใจสมัยที่เรียนที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านหนองดู่ จ.นครพนม ตอนเด็ก ๆ เข้าใจว่าโรงเรียนที่เรียนอยู่เป็นโรงเรียนปกติเหมือนโรงเรียนทั่วไป ครูใส่ชุดสีเขียว ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นตำรวจที่มาปฏิบัติหน้าที่ครู ครูในโรงเรียนมีทั้งครูต่างบ้านและครูที่อยู่ในหมู่บ้านของเรา ก็สนิทกับครูอยู่พอสมควร กิจกรรมที่โรงเรียนอ่านออกเขียนได้ และคณิตศาสตร์ วิชาอื่น ๆ มีความรู้พื้นฐานทั่วไป และเน้นกิจกรรมมีหน้าที่รับผิดชอบแปลงเกษตรของตัวเอง ที่การทำต้องเริ่มตั้งแต่เตรียมดิน ปลูกเอง ดูแลเอง ส่งเอง และนำผลผลิตไปขายให้กับโครงการอาหารกลางวัน และครูเป็นคนนำวัตถุดิบที่เราขายไปทำอาหารประกอบเลี้ยงมีโอกาสได้ร่วมทำอาหารกับครูตามเวรที่จัดไว้ เป็นความผูกพันและความประทับใจที่จดจำได้ครั้งที่ยังเรียนหนังสือที่ รร.บ้านหนองดู่
เกิดคำถามและความสงสัยขึ้นว่าทำไมครูถึงได้เป็นครูที่โรงเรียน ครูก็ได้เล่าการเดินทางของตัวครูว่ารับทุนการศึกษาเป็นนักเรียนในพระราชานุเคราะห์ และโครงการคุรุทายาท ถือเป็นคำแนะแนวที่ครูหนิงได้ใช้เป็นแนวทางในการเดินหน้าเพื่อการศึกษาให้ตนเอง ครูหนิงได้เดินทางตามคำแนะแนวที่จำได้ในวัยเด็ก แต่การเรียนในฐานะนักเรียนทุนก็ไม่ถึงฝัน
มหาวิทยาลัยเส้นทางที่เดินต่อไม่ไหว
แม้จะได้รับทุนการศึกษาจากโครงการนักเรียนในพระราชานุเคราะห์ในระดับชั้นมัธยม ด้วยฐานะทางครอบครัวที่ไม่ดีนัก แต่ครูหนิงก็อดทนมุ่งมั่นเรียนจนจบชั้น ม.6 และสานฝันการศึกษาด้วยการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยเพื่อให้ได้วุฒิครูตามที่ตั้งใจเพื่อกลับไปเป็นครูพัฒนาโรงเรียนบ้านเกิดของตนเอง ให้มีทักษะมีความรู้ความสามารถแข่งขันกับเด็กในเมืองแบบที่ตนเองได้ไปสัมผัสด้วยตนเอง แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นย่ำแย่จากภาวะการระบาดของโควิด -19 การเรียนในอุดมศึกษาต้องหยุดชะงักลง ความฝันเรียนครูก็สิ้นสุดลง ได้กลับมาสอบบรรจุเป็นครู รร.ตชด.ค็อกนิสไทยฯ ที่จังหวัดสกลนคร ได้เป็นครูตามที่ตั้งใจไว้ แต่ในใจลึก ๆ ยังคิดถึงการเรียนวิชาชีพครูมาตลอด
การเรียนการสอนเด็กที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
ด้วยหัวใจของความเป็นครูที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ครูหนิง จ.ส.ต.หญิง รุ่งทิพย์ เรียนรู้การสอนหนังสือด้วยตนเองจากแหล่งเรียนรู้ที่เข้าถึงได้จากที่ต่าง ๆ ทั้งหนังสือ อินเตอร์เน็ท และการอบรมพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ที่หากสามารถมีเวลาเข้าร่วมได้ เมื่อเวลาผ่านไปเกิดคำถามกับตนเองว่า การสอนของตนเองยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่เคยเรียนรู้วิชาชีพครู จึงไม่รู้ว่าครูต้องสอนอย่างไร ออกแบบการสอนอย่างไร เทคนิควิธีการสอนมีอะไรบ้าง เป็นคำถามที่ติดค้างในใจมาตลอด ยิ่งเห็นเด็ก ๆ ที่เรียนในโรงเรียน สพฐ. เป็นเด็กที่เก่งมีทักษะ และผลวัดระดับ O-Net ได้ผลคะแนนที่ดี ในฐานะครูคนหนึ่งจะต้องสอนอย่างไร เตรียมการสอนอย่างไร ออกแบบแผนอย่างไรให้เด็ก ๆ ที่โรงเรียน ตชด. ได้ถึงขั้นนั้นบ้าง เรียนครบทุกตัวชี้วัด และไหนจะงานส่วนฐานะตำรวจ ไหนจะงานในส่วนของครูสอนหนังสือ ก็แทบไม่มีเวลา
“จบแค่ ม.6 ไม่มีวุฒิครูจะสอนได้ดีได้อย่างไร
คำถามสะกิดใจครู “
ครูหนิง เล่าให้เราฟังว่าตัวเองนั้นไม่ได้สอนเพียงอย่างเดียว ยังได้รับผิดชอบในหลายหน้าที่ทั้งธุรการ งานพิธีกรกอง กำกับการ ตชด. “เรื่องการสอนเท่าที่ความสามารถด้วยทักษะที่ได้เรียนรู้มาด้วยตนเอง ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง ทดเก็บไว้ภายในใจ หวังว่าสักวันหนึ่งอยากมีโอกาสเรียนเพื่อหาทางแก้ในจุดนี้ จนมาวันหนึ่งมีคนมาตั้งคำถาม จบแค่ ม.6 ไม่มีวุฒิครูจะสอนได้ดีได้อย่างไร จะมีความรู้อะไรที่เท่ากับคนจบปริญญาตรี เป็นคำถามที่สะกิดความรู้สึกของเรา แม้การสอนที่เราพยายามทุ่มเทกับนักเรียนขนาดไหน แต่ไม่เพียงพอที่พัฒนานักเรียนได้” “แต่เขาก็พูดถูกของเขานะคะ เพราะวุฒิการศึกษาเป็นสิ่งที่จะมายืนยันมีการรับรองความรู้ความสามารถ เป็นใบเบิกทางเปิดโอกาสมากกว่าคนที่มีความสามารถแต่ยังขาดวุฒิ เก่งไหมก็เป็นคนเก่งแหล่ะ แต่แค่ไม่มีอะไรมายืนยันว่า” แม้จะตั้งใจและพยายามอย่างเต็มกำลังแต่นั่นยังไม่เพียงพอ ตัวครูหนิงก็ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและตัวของครูหนิงเองตั้งคำถามและพยายามที่จะหาโอกาส หาทุนเรียนเพื่อให้ตนเองมีความรู้ว่าครูที่สอนห้องเรียน เขาเรียนอะไรกันบ้าง มีทุนเรียนเปิดในที่ต่าง ๆ แต่ด้วยทุนที่เปิดรับนั้นไม่ได้สอดคล้องกับความต้องการและภาระหน้าที่การทำงานของครูในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนแม้แต่น้อย ก็มีพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนครูด้วยกันว่า “น่าจะมีทุนให้เราเรียนกันบ้างนะ แชร์ความรู้สึกว่ากับเพื่อนว่าน่าจะมีโอกาสด้านการศึกษามาให้กับครู ตชด. บ้าง”
เมื่อโอกาสมาถึงกับโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่พึ่งของเด็กชายขอบที่โอกาสทางการศึกษาไม่ได้เท่าเทียมกับพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย โดยโครงการนี้ได้ออกแบบการพัฒนาศักยภาพครู 4 ด้าน ได้แก่ 1) ความรู้ในศาสตร์เชิงเนื้อหา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ 2) ทักษะการเรียนการสอน เทคนิควิธีการสอน 3) การเสริมสร้างคุณลักษณะความเป็นครูที่ดี จิตวิญญาณความเป็นครู และ 4) กิจกรรมเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน
ครูหนิง จ.ส.ต.หญิง รุ่งทิพย์ ไม่รอช้าแค่เพียงแค่เห็นชื่อโครงการนี้ให้ครู ตชด. ได้เรียนคณะครุศาสตร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และเรียนนอกเวลาราชการ เรียกได้ว่าเป็นโครงการที่แก้ pain point ของครูหนิงและครู ตชด. หลาย ๆ ท่านที่กำลังมองหาโอกาสที่จะพัฒนาคุณภาพและศักยภาพของตนเองเพื่อนำไปพัฒนานักเรียน
ครูหนิงเล่าให้ฟังติดตลกและน้ำเสียงที่มีความหวังว่า “ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโครงการนี้ ไม่รู้ว่าต้องเรียนอะไรบ้าง ต้องออกค่าใช้จ่ายอะไรเองไหม ต้องเดินทางไกลไปเรียนแบบไหน ทุกเสาร์-อาทิตย์ไหม ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย จนกว่าจะได้ไปเรียน” แต่ก็ตัดสินใจสมัครสอบคัดเลือกทันที
การเข้าไปเรียนไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ด้วยเป็นปีแรกและเป็นโครงการแก้ปัญหาการเรียนรู้ของครูตชด. ที่ตรงกับความต้องการ ทำให้มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก ครูหนิงต้องเตรียมตัวให้ดี การเตรียมแฟ้มผลงาน (portfolio) และต้องสัมภาษณ์กับคณะกรรมการคัดเลือกหลายท่าน และด้วยความตั้งใจที่อยากพัฒนาตนเอง เพื่อนำไปพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ที่ดีขึ้น ได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องมานั่งตั้งคำถามกับตัวเองอีกว่าสิ่งที่สอนอยู่นี้เด็กจะถึงทักษะการเรียนที่ตั้งเป้าไว้หรือเปล่า เป็นโอกาสได้เรียนรู้การสอนที่ถูกหลัก และช่วยให้เด็ก ๆ ที่โรงเรียนมีความสามารถทัดเทียมกับเด็กที่เรียนในโรงเรียนของหน่วยงานอื่น ๆ ความตั้งใจและมีเป้าหมายการเรียนที่ชัดเจน ทำให้ จ.ส.ต.หญิง รุ่งทิพย์ เวลาได้รับคัดเลือกเขาร่วมโครงการนี้ “ดีใจและภูมิใจ” เป็นคำกล่าวสั้น ๆ ที่ ครูหนิง บอกกับเรา
เมื่อเข้าไปเรียนแล้วก็ได้ประสบการณ์เรียนไม่เหมือนที่คิดไว้ เป็นวิธีการสอนและการเรียนเป็นรูปแบบกิจกรรมที่ อ. เป็นผู้ออกแบบให้เราไปทำ เป็นประสบการณ์ใหม่ ว่าการเรียนการสอนไม่ใช่การยืนบรรยายแล้วให้ทำแบบฝึกหัด ทำใบงาน เปิดโลกการเรียนการสอนว่ามีหลายรูปแบบ หลายมุมมอง ให้กับเรานำไปใช้ในห้องเรียน Active Learning และความรู้วิชาชีพครู
เมื่อถามว่ามีอุปสรรคในการเรียนรู้หรือไม่ ครูหนิงตอบได้อย่างเต็มเสียงว่า “การเรียนรู้ที่นี่เข้าใจความต้องการของครูตชด. จริง ๆ ว่ามีภาระหน้าที่อย่างไร และหลักสูตรออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาครูที่ไม่มีเวลาไปเรียนในภาคปกติ และไม่กระทบกับงานที่ปฏิบัติอยู่”
ปีนี้เป็นปีที่ 3 ที่ จ.ส.ต.หญิง รุ่งทิพย์ เวลา ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เป็นปีที่นอกจากเรียนรู้แล้วยังต้องฝึกงานโดยนำกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้มาปรับใช้จากที่เคยเป็นครูที่สอนตามหนังสือ ที่ไม่รู้เป้าหมายว่าเด็กควรจะเรียนรู้อะไร เมื่อได้เรียนรู้แล้วนำไปปรับการออกแบบการเรียนการสอนให้เด็กบรรลุตามตัวชี้วัด เด็ก ๆ มีการเรียนรู้ที่ดีขึ้นแตกต่างจากเดิมที่เคยสอนอย่างเห็นได้ชัด ตัวครูผู้สอนเองก็เห็นแนวทางการสอนที่ถูกทางถูกเป้าหมายและมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น
4,370
Writer

- Admin I AM KRU.