เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีด้านภาษาไทยผ่านวรรณกรรม
โดย 3 นักเล่าเรื่อง
ครูวรานุช น้อยรูปเรา (ครูบอล) โรงเรียนสาธิตวัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร
ครูทัศนีย์ แก้วกองทรัพย์ (ครูก้อย) โรงเรียนบ้านหนองกุลา จังหวัดพิษณุโลก (โรงเรียนขยายโอกาส)
ครูพัชราภรณ์ หยวกยง (ครูต้อง) โรงเรียนบ้านหนองหิน จังหวัดพิษณุโลก (โรงเรียนขยายโอกาส)
ทำไมต้องภาษาไทยผ่านวรรณกรรม
ครูทัศนีย์ แก้วกองทรัพย์ (ครูก้อย) บอกเล่าว่าจบมาทางชีววิทยา สิ่งที่เรียนมาไม่เกี่ยวข้องกับวิชาภาษาไทยโดยตรง แต่ภาษาไทยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ในสาขาวิชาอื่น
Model ภูเขาน้ำแข็ง การเรียนภาษาไทยแบบเดิมเป็นการเรียน Passive Learning เป็นการเรียนตามที่ครูให้ อ่าน ท่อง จำ แต่เด็กไม่รู้ว่าเรียนรู้ไปเพื่ออะไร การอ่านแต่ละรูปแบบความหมายอย่างไร การทำงานส่งครูมีแค่ตอบถูกตอบผิด แต่ไม่มีคำอธิบายว่าผิดเพราะอะไร รู้แต่ว่าต้องทำงานที่ครูสั่งให้เรียบร้อย เป็นการเรียนรู้แบบครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher-Based Learning) ครูเป็นผู้ออกคำสั่งในการเรียนรู้ เกิดการปิดกั้นการเรียนรู้ที่ควรให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child-Based Learning) อย่างที่ควรจะเป็น การเรียนภาษาแบบแยกส่วนไม่มีการเรียนรู้จากคำศัพท์แหล่งอื่น
ครูทัศนีย์ตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า ‘จะดีกว่าไหมถ้าเรียนภาษาไทยเพื่อนำไปใช้ชีวิตอย่างอื่นได้’ คิดวิเคราะห์ ในรายวิชาอื่น ๆ ได้ เปลี่ยนการเรียนแบบท่องจำเป็นสมรรถนะ เหมือนการขับรถที่เป็นทักษะติดตัวไปตลอดชีวิต จึงเกิดคำถามว่าแล้วจะเปลี่ยนการเรียนรู้ได้อย่างไร ครูก้อยบอกต่อไปอีกว่า เด็กจะเปลี่ยนได้เมื่อเรียนรู้อย่างมีความสุข การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม
ครูวรานุช น้อยรูปเรา (ครูบอล) เล่าประสบการณ์การสอนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้นที่ใช้การเรียนภาษาไทยผ่านวรรณกรรมว่าเด็ก ๆ ในชั้นเรียนพบปัญหาอะไรบ้าง
ก่อนใช้กระบวนการสอน เด็กใช้จำเป็นคำ ๆ แต่ไม่เข้าใจ เด็ก ๆ ยังไม่ค่อยแม่น ไม่ค่อยรู้ตัวอักษร สะกดไม่ค่อยได้
หลังใช้กระบวนการสอน วิธีการสอนเป็นการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน ตัวอักษร การสะกด การผสมคำ มีคลังคำเพิ่มมากขึ้น พอผสมคำเป็นก็เริ่มโยงไปกับการเขียนเรื่อง สามารถลำดับเรื่องราวและเหตุการณ์อย่างเป็น ระบบ เกิดสมรรถนะการเรียนรู้ที่นักเรียนจะได้รับ
▪ สมรรถนะการจัดการตนเอง
▪ สมรรถนะการคิดขั้นสูง
▪ สมรรถนะการสื่อสาร ฟัง พูด อ่าน เขียน
▪ สมรรถนะการทำงานเป็นทีม
ครูพัชราภรณ์ หยวกยง (ครูต้อง)
ก่อนเข้าร่วมอบรมก็สอนแบบเดิม ๆ เหมือนครูภาษาไทยทั่วไปสอนมากี่ปีก็เหมือนเดิม เด็กก็ไม่ได้พัฒนาขึ้น เด็กนักเรียนจับประเด็น จับใจความ สรุปใจความจากสิ่งที่อ่านไม่ได้ มีโอกาสได้ไปเรียนรู้การสอนที่โรงเรียนลำปลายมาศ ก็นำแผนการสอนมาใช้และนำมาประยุกต์ให้เป็นแบบฉบับของตนเอง เมื่อปรับมาเป็นของเราก็นำมาจัดกระบวนการ 4 ขั้นตอน พอเปลี่ยนเด็กได้อ่านวรรณกรรมรู้สึกสนุกกับเรื่องราวที่อ่าน และมีการพัฒนาภาษาไทยที่ดีมากขึ้น เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากผลการสอบการอ่านของสพฐ. จากที่เขียนไม่ได้เลยพอเรียนได้สักเทอม เด็กเขียนดีขึ้น
‘ครูเป็นโค้ชที่คอยแนะนำวรรณกรรมที่เป็นประโยชน์’
การสอนวรรณกรรมใช้เวลาแต่ละขั้นตอนค่อนข้างเยอะต้องให้เวลากับนักเรียนเพื่อเข้าที่แล้วก็จะเรียนรู้ไปได้เรียนมาก เกิดการเชื่อมโยงกับหลักภาษาสามารถแยกแยะรูปประโยคความซ้อนได้ และสามารถนำไปใช้ในการเรียนและสื่อสารได้
จุดมุ่งหมายของการสอนภาษาไทยผ่านวรรณกรรม
ครูวรานุช น้อยรูปเรา (ครูบอล)
ที่เลือกใช้เพราะต้องการให้เด็กเกิดการคิดวิเคราะห์ ในโลกปัจจุบันได้ แยกแยะข้อมูล ข่าวสาร คิดวิเคราะห์ แยกแยะ ตีความเนื้อหาที่อ่านได้ แยกความจริง แยกความเท็จได้
ครูทัศนีย์ แก้วกองทรัพย์ (ครูก้อย)
เมื่อเรียนภาษาไทยสามารถใช้กระบวนการของภาษาไทยไปเรียนรู้จากวิชาอื่นได้ด้วย อย่างวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ข้อมูล คณิตศาสตร์วิเคราะห์โจทย์ สามารถเข้าใจคำถามจากรายวิชาอื่น ภาษาไทยจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเรียนวิชาอื่น ถ้าเด็กอ่านภาษาไทยไม่แตก วิเคราะห์ไม่ได้ นำไปใช้ไม่ได้ การเรียนรู้วิชาอื่นจะเป็นอุปสรรคทันที
ครูจะมีหน้าที่เป็นโค้ชแนะนำแต่ไม่มีหน้าที่บอกว่าควรทำอย่างนี้ สิ่งนี้ ครูมีหน้าที่ประคองเพื่อให้เด็กคิดเป็น เมื่อจบออกไปแล้วเด็กสามารถใช้งานภาษาไทยในชีวิตประจำวันและต่อยอดอย่างหนึ่ง
ครูพัชราภรณ์ หยวกยง (ครูต้อง)
จากประสบการณ์การสอนที่ผ่านมาของครูต้อง ว่าการเรียนการสอนแบบเดิมหรือที่เรียกว่า Passive Learning ไม่ช่วยให้เด็กเกิดการพัฒนาการอ่านและการคิดของนักเรียนได้มากเท่าที่ควร เพราะปัจจุบันเด็กไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ ครูจึงสอนแบบเดิมไม่ได้แล้ว พอได้ไปอบรมก็ลอง เปิดใจ ปรับ mindset ลองค้นหาว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร การสอนแบบนี้มีประโยชน์ต่อนักเรียนอย่างไร
จึงพบว่าการเรียนวรรณกรรมในรูปแบบนี้ทำให้เปิดไปสู่อีกโลก ได้คลังคำจำนวนมาก ทั้งไปดูอีกชีวิต และเรื่องราวของคนอื่น (ในเรื่องเล่า) เกิดการตีความว่าเรื่องราวที่อ่านสะท้อนอะไรบ้าง เกิดความคิดขั้นสูง เมื่อคิดเป็นก็เขียนได้ ซึ่งการเรียนรู้ในรูปแบบนี้จะทำให้เด็กไปถึงการเรียนรู้ขั้นนั้นได้
การเรียนภาษาไทยผ่านวรรณกรรม = Active Learning
วิธีเลือกวรรณกรรม เลือกอย่างไร ?
ครูบอล เลือกให้เหมาะสมกับช่วงวัย และมองที่ผลลัพธ์ของนักเรียนว่าจะได้อะไรจากวรรณกรรม/นิทานเรื่องนี้บ้าง หลักภาษา มาตรฐานตัวชี้วัด สมรรถนะที่นักเรียนจะได้ คุณธรรมที่จะได้รับหลังจากเรียนจบ
วิธีการเลือกของครูก้อย ช่วงชั้นเด็กต้องหลักภาษาอะไร พร้อมดูตัวชี้วัดประกอบ วิเคราะห์เนื้อหาเชิงสังคมให้เหมาะกับนักเรียนตามช่วงชั้นด้วย โดยของครูต้องมีความคล้ายคลึงกันแต่จะเลือกเรื่องที่มีคุณค่าที่เหมาะกับผู้เรียนและให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเลือกหนังสือ เพื่อให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ไปด้วยและในช่วงนี้ ครูบอล ครูก้อย ครูต้อง ครูนักเล่าเรื่องทั้งสามท่าน ได้เล่าถึงขั้นตอนการเรียนรู้ภาษาไทยผ่านวรรณกรรมเพื่อการคิดขั้นสูง ที่มีรูปแบบการจัดการเรียนรู้ให้เป็น Active Learning ของระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ซึ่งเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนได้ทันที หรือสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับเนื้อหาหรือบริบทการเรียนการสอนได้ โดยการเรียนรู้ภาษาไทยผ่านวรรณกรรม มี 5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 : คาดเดาเรื่อง ครูต้องรีวิวหนังสือด้วยตนเองก่อน
- จากปก สิ่งของ คำสำคัญ ให้ผู้เรียนหาคำสำคัญของเรื่อง ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ให้ออกความเห็นว่าเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไร
ขั้นที่ 2 : การอ่าน
- อ่านจับประเด็น ทำความเข้าใจเรื่องผ่านการอ่าน สำหรับเด็กเล็กอาจจะ ครูอ่านก่อน เด็กอ่านตาม อ่านพร้อมกัน เพื่อสร้างความมีส่วนร่วม ใช้จิตวิทยาเชิงบวกเข้าร่วมด้วย ชื่นชม เสริมพลังเด็ก กระตุ้นเด็กเป็นระยะ
- อ่านไฮไลท์คำ สร้างอภิธานศัพท์ (คลังคำ) คำศัพท์ใหม่ที่ไม่เคยเจอ คำศัพท์ที่น่าสนใจ จดบันทึกไว้อาจจะแบ่งเป็นหมวดหมู่ ให้ออกแบบวิธีนำเสนอคำศัพท์ที่น่าสนใจ หรือไปหาบริบทการใช้คำศัพท์ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ให้ความหมายไม่เหมือนกัน เพื่อสะท้อนความเข้าใจของนักเรียน
ขั้นที่ 3 : การตีความใต้บรรทัด เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับเด็ก โดยครูต้องไปอ่านและศึกษาเรื่องราวมาอย่างละเอียดก่อนพานักเรียนเข้าสู่การเรียนรู้วรรณกรรมเล่มนั้น
- ระดับ 1 ตีความเรื่อง (สิ่งที่เรื่องไม่ได้บอก) ครูคิดว่าจะตั้งคำถามอะไรได้บ้างจากเรื่องที่อ่าน สัญลักษณ์ สัญญะ ต่าง ๆ ที่ซ่อนภายในเรื่อง
- ระดับ 2 ตีความเพื่อสะท้อนความเชื่อ สังคม วัฒนธรรม ชีวิต เพื่อเปรียบเทียบกัน ระดับนี้จะค่อนข้างยากครูอาจจะต้องยกตัวอย่างให้ก่อนเพื่อเป็นแนวทาง หรือหยิบยกตัวอย่างประโยคในเรื่องมาช่วยกันตีความ หาความหมายที่ซ่อนอยู่
ขั้นที่ 4 : การเชื่อมโยงหลักภาษา เป็นขั้นที่ทำการเรียนภาษาไทยที่สนุกไปด้วย
- จัดระบบข้อมูล (จากต้นเรื่อง)
- เปิดประสบการณ์ทางภาษา (อ่าน เขียน เชื่อม โดยแต่งประโยคหรือเรื่อง) นำมาใช้แต่งเรื่อง ต่อยอดเรื่อง
- สร้างคอนเซ็ปต์ (กฎเกณฑ์ทางภาษา) สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการเรียน ถ้าสรุปได้หมายความว่านักเรียนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน
ขั้นที่ 5 การสื่อสารและสารสำคัญผ่านเรื่องแบบต่าง ๆ ผู้เรียนถ่ายทอดสาร/สารสำคัญผ่านสื่อ เช่นนิทาน การ์ตูนช่อง โปสเตอร์ งานเขียนรีวิวหรือหนังสั้น นักเรียนมีอิสระในการเลือกในการนำเสนอเกิดความคิดสร้างสรรค์ตามแบบที่ตนเองถนัด
ในส่วนนี้ครูก้อย ได้เล่าเสริมเรื่องการจัดการนักเรียนติดโทรศัพท์มือถือในระหว่างเรียน เมื่อก่อนเคยยึดโทรศัพท์ไว้ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนจากการเก็บไว้กับครูเป็นให้ผู้เรียนได้ใช้โปรแกรมต่าง ๆ สามารถทำได้ในมือถือมาใช้ในการนำเสนองาน เช่น โปรแกรม Canva
โดยทุกขั้นตอนครูมีหน้ามีบทบาทที่สำคัญในการจัดกระบวนการเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และทุกกระบวนการมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงในทั้งตัวครูและนักเรียน
รับชม Live เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีด้านภาษาไทยผ่านวรรณกรรม
“จากเวทีมหกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้โรงเรียนพัฒนาตนเองระดับพื้นที่ ครั้งที่ 1”
Writer
- Admin I AM KRU.