เสริมทักษะการคิดแบบสมวัย ด้วย “โครงงานฐานวิจัย” และ “บ้านวิทยาศาสตร์น้อย”
“เด็กที่ผ่านการสอนโดยเน้นสร้างทักษะการคิด เขาจะรู้จักการตั้งคำถามและสร้างสมมติฐานต่อเรื่องราวรอบตัวมากขึ้น ตลอดจนรู้จักวิเคราะห์หาคำตอบเบื้องต้นจากข้อมูลที่มีและหาได้ด้วยตัวของเขาเอง”
รศ.ไพโรจน์ คีรีรัตน์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ดูแลโครงการห้องเรียนสร้างกระบวนการคิดในเด็กชั้นประถมศึกษา
วัยเด็ก เป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็น ช่างคิด ช่างสงสัย เด็กทุกคนจึงต้องการการเรียนรู้ที่สนับสนุนให้พวกเขาได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ แต่หลักสูตรและวิธีจัดการเรียนการสอนของหลายโรงเรียน กลับเป็นการสอนแบบเน้นท่องจำ ขาดมิติของการพัฒนา “ทักษะ” ไม่ส่งเสริมให้นักเรียนเติบโตตามวัย นักเรียนชั้นปฐมวัยและประถมศึกษาในประเทศไทยส่วนใหญ่จึงยังขาดทักษะที่จำเป็น เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ และทักษะความคิดสร้างสรรค์ ถ้าหากครอบครัวของนักเรียนไม่มีทุนทรัพย์ส่งนักเรียนไปเรียนพิเศษในด้านเหล่านี้เพิ่ม นักเรียนก็จะขาดโอกาสพัฒนาทักษะเหล่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จึงมีโจทย์ใหญ่ของการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา นั่นคือการทำให้เด็กรู้จักคิด รู้จักสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ด้วยตนเอง โดยที่ไม่ต้องไปแสวงหาทักษะนี้นอกเวลาเรียน เด็กทุกคนจะต้องมีโอกาสเติบโตในแบบของตนเอง และได้รับการเรียนรู้ที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ตาม
สร้างวิธีเรียนรู้จาก “โครงงานฐานวิจัย”
โครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง (TSQP) ในความดูแลของ กสศ. จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ให้โรงเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการบริหารงานที่แข็งแกร่ง การเพิ่มคุณภาพครู และการเตรียมพร้อมเด็กให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 โครงการนี้กระจายไปยังพื้นที่เป้าหมาย 288 โรงเรียน ครอบคลุม 35 จังหวัด โดยมีหน่วยงานวิชาการที่ให้ความร่วมมือด้วย โดยหนึ่งในนั้นคือมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่เข้ามาช่วยพัฒนาการศึกษาของเด็กปฐมวัย ที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมาย
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่ได้นำเอาประสบการณ์และความชำนาญในการจัดการเรียนการสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษา มาใช้กับโรงเรียนในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย(อปท.) ทั่วประเทศ โดยสร้างการเรียนรู้ผ่าน “โครงงานวิทยาศาสตร์” เป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้จากประสบการณ์เฉพาะ ด้วยกระบวนการคิดตามหลักการของงานวิจัย สร้างบทเรียนขึ้นจากสิ่งแวดล้อมในชุมชน ที่เด็กสามารถพเห็นได้ทั่วไป เพื่อบ่มเพาะความสามารถทางวิทยาศาสตร์ และปลูกฝังการสังเคราะห์ความรู้และแก้ปัญหาให้เด็ก ให้พวกเขาเริ่มจากการแก้ปัญหาที่อยู่ใกล้ตัว ก่อนที่จะพัฒนาต่อในระดับสูงขึ้น ซึ่งลักษณะของโครงการที่ได้ก็จะแตกต่างกันไปตามระดับชั้นของนักเรียน
“โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย” สำหรับเด็กเล็ก
สำหรับนักเรียนระดับปฐมวัย ถึงระดับประถมศึกษาตอนต้น การสร้างห้องเรียนที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ “สงสัย” และ “ลงมือหาคำตอบ” เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เขามีนิสัยช่างสงสัยและชอบค้นคว้าติดตัวไปในตอนโตขึ้น คณาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จึงสร้างห้องเรียนให้มีบทเรียนที่ส่งเสริมให้เด็กได้คิด ผ่าน “โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย” โดยวิธีการของโครงการนี้ เริ่มจากถ่ายทอดหลักการสอนในเชิงวิทยาศาสตร์และการเรียนรู้แบบงานวิจัยให้ครู เพื่อให้ครูเป็นผู้กระตุ้นให้เด็กคิดเป็น และควบคุมกระบวนการที่จะเกิดในห้องเรียนได้
รศ.ไพโรจน์ คีรีรัตน์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ดูแลโครงการห้องเรียนสร้างกระบวนการคิดในเด็กชั้นประถมศึกษา เล่าว่า จากประสบการณ์การจัดการสอนทั้งแบบ “โครงงานฐานวิจัย” และ “โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย” ทาง ม.สงขลานครินทร์ ได้นำเอาความรู้จากสองทางมาประสานกัน แล้วสร้างเป็นบทเรียนที่เหมาะสมกับนักเรียนชั้นประถมศึกษา โดยในชั้นเด็กเล็ก คือ อนุบาล 1-ป.3 จะใช้หลักสูตรบ้านวิทยาศาสตร์น้อย ส่วนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จะใช้บทเรียนจากโครงงานฐานวิจัย ทั้งสองหลักสูตรจะเริ่มต้นจากการตั้งคำถามโดยมีชุมชนเป็นฐาน ผ่านการทดลองเป็นกระบวนการหลัก ดังนั้นตัวความรู้ที่ได้ออกมาแต่ละชุดจะเกิดเป็นประสบการณ์เฉพาะตามบริบทในแต่ละท้องถิ่น แต่ผลที่ได้คือเด็กจะเกิดความสามารถในการตั้งคำถามหรือสมมติฐาน แล้วค้นหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง
“การจะเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนจากเดิมที่เน้นให้เด็กทำตามโจทย์มาเป็นการกระตุ้นให้เขาคิด เราพยายามออกแบบอย่างเป็นขั้นตอน ทำให้กระบวนการนี้เกิดขึ้นในห้องเรียน การได้คิดได้ค้นหาคำตอบผ่านเรื่องราวใกล้ตัวจะทำให้เขาสนใจอยากเรียนรู้ โดยเราจะบูรณาการการถ่ายทอดความรู้แบบจิตปัญญาศึกษา ให้เขาเตรียมความพร้อมทั้งจิตใจและร่างกาย ปลูกฝังหลักการคิด พร้อมกับที่เขาจะได้ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ผ่านการทำงานกลุ่ม ได้เรียนรู้และยอมรับความคิดของกันและกัน ก่อนจะถอดเป็นบทเรียนในตอนท้าย รูปแบบการสอนมันทำให้เห็นชัดเจนว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็ก ในห้องจัดกิจกรรม ว่าเด็กที่ผ่านการสอนโดยเน้นสร้างทักษะการคิด เขาจะรู้จักการตั้งคำถามและสร้างสมมติฐานต่อเรื่องราวรอบตัวมากขึ้น ตลอดจนรู้จักวิเคราะห์หาคำตอบเบื้องต้นจากข้อมูลที่มีและหาได้ด้วยตัวของเขาเอง”
รศ.ไพโรจน์ กล่าวถึงหลักการสร้างกระบวนการคิดในเด็กปฐมวัย
ทางด้าน ผศ.อัมพร ศรประสิทธิ์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุถึงโครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อยว่า เป็นโครงการจากการประเมินผลของ PISA ที่มีงานวิจัยยืนยันว่าเราควรสร้างทัศนคติที่ดีด้านการเรียนรู้ทักษะและกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัย อายุ 3-6 ปี เพราะเป็นช่วงอายุที่มีความสามารถในการเรียนรู้และจดจำได้มากที่สุด
ใช้ชุมชนเป็นฐาน พัฒนาการเรียนรู้
การจัดกิจกรรมให้เด็กในชั้นอนุบาล 1 – ป.3 ซึ่งเป็นชั้นเด็กเล็ก จะไม่เน้นที่การมุ่งใส่ความรู้ให้เด็ก แต่จะใช้วิธีให้เขาค้นพบองค์ความรู้ด้วยตัวเองจากการจัดรูปแบบการศึกษาของครู เริ่มจากความสนใจในสภาพแวดล้อมของชุมชนเป็นฐาน สำหรับโรงเรียนในเมือง เด็กจะได้ทำกิจกรรมจากความสนใจในชุมชนที่อยู่รอบ ๆ โรงเรียน ทำความรู้จักกับอาคารสิ่งก่อสร้าง ร้านค้าต่าง ๆ เช่นโจทย์จากร้านก๋วยเตี๋ยว เด็กจะได้เรียนรู้การเปลี่ยนลักษณะของเส้นก๋วยเตี๋ยวจากก่อนที่จะลวกจนถึงเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ลวกจนมีสภาพเปลี่ยนไป หรือขั้นตอนการทำขนมง่าย ๆ จากร้านขนมใกล้โรงเรียน ซึ่งจะมีการทดลองทำตามหลักวิทยาศาสตร์ และเป็นเรื่องใกล้ตัวเด็ก ส่วนโรงเรียนในพื้นที่ชนบท เด็กจะได้เรียนรู้บทเรียนจากปรากฏการณ์ธรรมชาติรอบตัว จากดิน น้ำ ลม ฟ้า อากาศ หรือแสง รวมถึงผลิตผลและเกษตรกรรมในท้องถิ่นของเขา การนำสิ่งใกล้ตัวมาร้อยเป็นบทเรียนนี้เอง จะช่วยกระตุ้นความสนใจทางวิทยาศาสตร์ หรือความสงสัยใคร่รู้ต่อสิ่งรอบตัวของเด็กได้มากขึ้น
ทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการต้องจัดกิจกรรมสำหรับเด็กอย่างน้อย 20 กิจกรรมในรอบปี โดยเริ่มจากกิจกรรมย่อยในคาบเรียนก่อน แล้วปิดท้ายด้วยโครงงานใหญ่ที่เด็กจะได้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้กระบวนการวิจัย ให้นักเรียนรวบรวมความรู้จากบทเรียนที่เรียนมาตั้งแต่ต้นเทอม นำมาตั้งโจทย์เอง ออกแบบการทดลองเอง โดยครูจะเป็นผู้ช่วยตั้งคำถามกระตุ้นความคิด ว่าเขาจะต้องทำอย่างไร ให้เขาเรียงลำดับขั้นตอนทำงานด้วยตนเองได้ เพื่อให้ความรู้ขั้นสุดท้ายเกิดขึ้นจากความคิดของเด็กเป็นหลัก
รศ.ไพโรจน์ กล่าวเสริมต่อว่า ส่วนในด้านโครงงานฐานวิจัยที่เป็นหลักสูตรสำหรับชั้น ป.4 – ป.6 ครูจะให้นักเรียนค้นหาโจทย์ ปัญหา และตั้งคำถามกันเองว่า เขาสงสัยในเรื่องใด แล้วตั้งสมมติฐานกันว่าถ้าจะทำการทดลองด้วยวิธีการใดหนึ่ง จะเกิดผลลัพธ์อย่างไร ให้เขาได้เริ่มช่วยกันคิดว่าตัวเองสงสัยเรื่องอะไร สร้างเป็นประเด็นขึ้นมา จากนั้นจึงออกแบบการทดลอง แล้วในระหว่างทดลองแต่ละกลุ่มก็ต้องหาตัวแปรต้นหรือตัวแปรตามด้วยวิธีการของเขาเอง ครูจะเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำเท่านั้น ดังนั้นเด็กจะต้องคิดอย่างเป็นลำดับขั้นว่าอะไรคือเหตุ อะไรเป็นผล แล้วในการออกแบบการทดลอง เขาก็ต้องหาข้อมูลนำมาแชร์กันในกลุ่ม ก่อนจะสรุปผลร่วมกันตามหลักการและกระบวนการของโครงงานวิจัยทุกขั้นตอน
ส่วนเรื่องการประเมินผลการเรียนรู้ รศ.อัมพร อธิบายถึงเกณฑ์การประเมินว่า ทุกปีทางโครงการจะมีหน่วยงานในแต่ละท้องถิ่นช่วยประเมินให้ทุกโรงเรียนที่มีการสร้างสรรค์โครงงานขึ้นมา อันเป็นเสมือนการกำกับคุณภาพ โรงเรียนไหนที่ผ่านการประเมินก็จะได้รับตราพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นการการันตีว่าโรงเรียนจะต้องรักษาคุณภาพการสอน และพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ปัจจุบันทาง ม.สงขลานครินทร์ได้ดำเนินการ “โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย” และ “โครงงานฐานวิจัย” ในโรงเรียนประถมศึกษาแล้วกว่า 20 โรงเรียน โดยมี กสศ. เป็นผู้สนับสนุนทุนและช่วยประสานงานเกี่ยวกับระบบการบริหารจัดการโรงเรียน ขณะนี้ทางโครงการได้เริ่มต้นวางรูปแบบให้ครูได้พัฒนาการจัดการสอนลักษณะดังกล่าว 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยไม่รบกวนการเรียนการสอนปกติ มีการติดตามผลของนักเรียนทุกห้องเรียนที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงช่วยครูแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านระบบการสื่อสารออนไลน์ คณะครูสามารถขอคำปรึกษาจากผู้จัดทำโครงการได้
สำหรับเป้าหมายในอนาคต ทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ กสศ. ตั้งใจให้ทั้ง 2 โครงการนี้ขยายไปสู่พื้นที่อื่น ๆ มากขึ้น เพื่อพัฒนาทักษะของนักเรียนตั้งแต่ช่วงวัยที่เหมาะสม จะได้ไม่เสียโอกาสในการสร้าง “นักวิเคราะห์ตัวน้อย” ที่จะสร้างประโยชน์มหาศาลแก่ชุมชนและประเทศต่อไป
2,758
Writer
- เอื้อการย์ โรจนจิรไพศาล (มะแม้ว)
- นักเขียนผู้หลงรักการผจญภัยในเมือง ปรัชญาในชีวิตจริง และการไป Cafe Hopping ทั่วทุกมุมเมือง